จาก​ดาบ​ทมิฬ

ประติมากรรมอันน่าทึ่งของเซบิน ฮาเวิร์ด ชื่อ การเดินทางของทหาร ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตและความทุกข์ทรมาน รูปหล่อสำริด 38 ชิ้นที่ถูกจัดเรียงให้โน้มไปด้านหน้าบนรูปหล่อนูนต่ำความยาวราว 18 เมตรบอกเล่าถึงชีวิตของทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสร้างเสร็จในปี 2024 ภาพเรื่องราวเริ่มต้นด้วยการอำลาครอบครัวอย่างเจ็บปวด ตามด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมอย่างไร้เดียงสากับการออกเดินทาง และก้าวเข้าสู่ความสยดสยองของการสู้รบ สุดท้ายประติมากรรมนี้พาเรากลับบ้านเมื่อลูกสาวของทหารผ่านศึกมองเข้าไปในหมวกทหารที่หงายขึ้นของเขา และมองเห็นล่วงหน้าถึงสงครามโลกครั้งที่ 2

ฮาเวิร์ดพยายาม “ค้นหาความเชื่อมโยงของมนุษยชาติ คือการที่มนุษย์สามารถก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ และพวกเขาก็สามารถจมดิ่งลงไปถึงระดับเดียวกับสัตว์ได้” สงครามเผยให้เห็นความจริงข้อนี้

ดาวิดผู้ประพันธ์สดุดีทราบดีถึงการนองเลือดซึ่งเป็นผลจากสงคราม ท่านตระหนักดีถึงความจำเป็นที่น่าเศร้าในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย จึงได้สรรเสริญพระเจ้าผู้ “​ฝึก​มือ​ของ​ข้าพเจ้า​ให้​ทำ​สงคราม” (สดด.144:1) แต่ท่านก็ได้ล่าถอยจากการต่อสู้ด้วย โดยอธิษฐานว่า“​ทรง​ช่วย​ข้า​พระ​องค์​ให้​พ้น​จาก​ดาบทมิฬ” (ข้อ 10-11) ดาวิดรอคอยเวลาที่คนหนุ่มสาวจะไม่ต้องตายในสงคราม แต่บรรดาบุตรชายจะ “เป็น​เหมือน​ต้นไม้​โต​เต็ม​ขนาด” และบุตรสาว “​เป็น​เหมือน​เสา​หัว​มุม สลัก​ออกมา​ตาม​แบบ​พระ​ราชวัง” (ข้อ 12) ในวันนั้นจะ “ไม่​มี​ใคร​พัง​เข้า​มา ไม่​มี​ออกไป และ​ซึ่ง​ไม่​มี​เสียง​ร้อง​ทุกข์​ใน​ถนน​หนทาง​ของ​ข้าพเจ้า” (ข้อ 14)

เมื่อมองย้อนกลับไป เรารำลึกถึงผู้ที่ล้มตายในสนามรบ เมื่อมองไปข้างหน้า เราร้องเพลงกับดาวิดว่า “ข้า​แต่​พระ​เจ้า ข้า​พระ​องค์​จะ​ร้อง​เพลง​บท​ใหม่​ถวาย​แด่​พระ​องค์” (ข้อ 9)

เมื่อแม่มองย้อนกลับไป

“ฉันไม่ชอบวันแม่เอามากๆ” ดอนน่าคุณแม่ลูกสามกล่าว “มันทำให้ฉันหวนคิดถึงความรู้สึกบกพร่องและความล้มเหลวทั้งในอดีตและปัจจุบันของตัวเองในฐานะแม่คนหนึ่ง”

ดอนน่าเริ่มต้นเลี้ยงดูบุตรด้วยความคาดหวังที่สูง แต่ชีวิตจริงทำให้ระดับความคาดหวังของเธอลดลง “การเป็นแม่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมา” เธอกล่าว และเด็กเพียงคนเดียวสามารถ “ยั่วโมโหเราได้ในทุกเรื่อง”

เมื่อพระเจ้าทรงเลือกเลอาห์ให้เป็นมารดาของอิสราเอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมีความคาดหวังที่สูงกับลูกๆของเธอ เธอตั้งชื่อลูกชายสี่คนแรกตามสถานการณ์ที่ยากลำบากของเธอ (ปฐม.29:32-35) แต่เมื่อพูดถึงเรื่องราวด้านร้ายๆในพระคัมภีร์ ลูกชายทั้งหมดของเธอล้วนเล่นเป็นตัวร้าย บางคนมีความผิดในฐานะฆาตกร (34:24-30) ขายน้องเป็นทาส (37:17-28) ยูดาห์บุตรชายของเลอาห์ก็เป็นตัวร้ายในเรื่องราวที่น่าเกลียดเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์ (บทที่ 38)

พระเจ้าทรงให้พระเมสสิยาห์มาบังเกิดผ่านทางลูกหลานของเลอาห์ รวมถึงยูดาห์ได้อย่างไรกัน แต่พระเจ้าทรงทำภารกิจแห่งการทรงไถ่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดผ่านทางผู้คนที่เราไม่คาดคิดมากที่สุด

ดอนน่าได้เรียนรู้สิ่งนี้เช่นกัน ขณะที่เธอเผชิญกับความท้าทายในการเลี้ยงดูบุตร เธอไม่เคยพบคำตอบใดๆ “นอกจากจะทำหน้าที่ต่อไปและไม่หยุดอธิษฐาน” แล้วเด็กคนที่ยั่วโมโหเธอในทุกเรื่องล่ะ ตอนนี้เขาโตแล้ว และเขารักและเคารพแม่ของเขา เมื่อมองย้อนกลับไปดอนน่าพูดว่า “บางทีเขาอาจถูกส่งมาเพื่อสอนฉันในบางเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันเองและพระเจ้าของฉัน”

หลักฐานที่ดีที่สุด

ลีไม่เชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แต่ลีเป็นนักข่าวที่วิเคราะห์ข้อมูล เมื่อภรรยาของลีเชื่อในพระเยซู เขาจึงตัดสินใจศึกษาความเชื่อใหม่ของเธอด้วยตนเอง หลังจากค้นคว้าอยู่สองปีเขาก็ยอมจำนน โดยเชื่อในพระเจ้า ในการฟื้นคืนพระชนม์และเชื่อในพระคริสต์

การเปลี่ยนแปลงในตัวเขานั้นเห็นได้ชัดเจน ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นลูกสาววัย 5 ขวบพูดกับภรรยาของเขาว่า “แม่คะ หนูอยากให้พระเจ้าทำให้หนูในสิ่งที่ทำให้พ่อ” และลูกสาวของลี สโตรเบลก็เชื่อในพระเยซูด้วย

หลายคนปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องการคืนพระชนม์ แต่บรรดาพยานที่น่านับถือได้เห็นพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้น หนึ่งในนั้นคืออัครทูตเปโตรซึ่งกล่าวกับฝูงชนว่ากษัตริย์ดาวิดสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้อย่างแน่นอน (กจ.2:29) จากนั้นเปโตรชี้ไปที่คำพยากรณ์ของดาวิด “กษัตริย์ดาวิด...ทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์” (ข้อ 31) เปโตรสรุปว่า “พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้” (ข้อ 32)

หลักฐานที่ดีที่สุดในเรื่องการคืนพระชนม์คือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของบรรดาพยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งรวมทั้งเปโตรด้วย ขณะทรงถูกตรึงกางเขนนั้น เหล่าสาวกพากันไปซ่อนตัว อันที่จริงแล้วเปโตรได้ปฏิเสธพระคริสต์ (ยน.18:15-17, 25-27) ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มแบ่งปันความจริงอย่างกล้าหาญในเรื่องความหวังเดียวที่ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ นั่นก็คือพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์

Messiah's Last Words – คำตรัสสุดท้ายของพระเมสสิยาห์

บทใคร่ครวญ 7 ประการในเทศกาลอีสเตอร์จากถ้อยคำของพระเยซูบนไม้กางเขน

บทนำ - สมบัติในสวน

“ฉันหวังว่ามันจะบานได้นานกว่านี้” ภรรยาของผมพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย ขณะมองดูดอกโบตั๋นดอกโตทั้งสีชมพูและสีขาว เธอโน้มตัวลงไปดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน ดอกไม้เหล่านี้เป็นของขวัญจากคุณแม่ของผมที่รู้ตัวว่าท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานนัก และอยากให้สวนของท่านคงอยู่ต่อไปเมื่อท่านจากไปแล้ว

อีกครู่หนึ่ง หลานสาววัยสามขวบของเราก็กระโดดอย่างร่าเริงเข้ามาตามทางเดินในสวน ผมหางม้าของเธอกระเด้งขึ้นลงตามจังหวะวิ่ง เธอยื่นหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งให้กับคาเลบ เพื่อนของลูกชายเรา และพูดว่า “เอาไม๊” คาเลบรับก้อนหินจากเธอ เขาพลิกมันไปมาในมือ และด้วยความเข้าใจลึกซึ้งเกินวัยสิบเจ็ด เขาหย่อนหินก้อนนั้นลงกระเป๋าและพูดว่า “ดอกไม้บานได้ไม่นานหรอก แต่นี่จะอยู่ได้นานกว่านั้นมาก” รอยยิ้มเขินอายปรากฏบนใบหน้าหลานสาวของเรา เธอเดินจากไปอย่างพอใจ และคาดหวังที่จะพบสมบัติอื่นๆ ในสวนอีก ชีวิตที่แสนสั้น ความงดงาม และความหวัง ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว

...

นานมาแล้ว ในห้องชั้นบนแห่งหนึ่ง มีเหตุการณ์ซึ่งได้กลั่นเอาความเจ็บปวด ความรัก และความหวังของชีวิต ออกมารวมกันไว้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ยอห์นผู้เป็นสาวกได้บรรยายถึงอาหารเย็นมื้อสุดท้ายไว้ดังนี้ “พระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” (ยอห์น 13:1) ในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น พระคริสต์ได้ทรงสำแดงให้เหล่าสาวกเห็นถึงการเป็นผู้นำที่แท้จริง (ข้อ 3-17) พระองค์ทรงเตือนถึงการทรยศที่กำลังจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของยูดาส (ข้อ 18-30) และทรงเตือนเปโตรว่าอีกไม่ช้า เขาจะปฏิเสธพระองค์ (ข้อ 38) พระองค์ตรัสบอกสาวกว่า พระองค์กำลังจะไปแล้ว แต่ทรงให้สัญญากับพวกเขาว่า “เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน” (14:18) พระองค์ทรงให้คำมั่นกับพวกเขาว่า…

บทนำ - สมบัติในสวน

“ฉันหวังว่ามันจะบานได้นานกว่านี้” ภรรยาของผมพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย ขณะมองดูดอกโบตั๋นดอกโตทั้งสีชมพูและสีขาว เธอโน้มตัวลงไปดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน ดอกไม้เหล่านี้เป็นของขวัญจากคุณแม่ของผมที่รู้ตัวว่าท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานนัก และอยากให้สวนของท่านคงอยู่ต่อไปเมื่อท่านจากไปแล้ว

อีกครู่หนึ่ง หลานสาววัยสามขวบของเราก็กระโดดอย่างร่าเริงเข้ามาตามทางเดินในสวน ผมหางม้าของเธอกระเด้งขึ้นลงตามจังหวะวิ่ง เธอยื่นหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งให้กับคาเลบ เพื่อนของลูกชายเรา และพูดว่า “เอาไม๊” คาเลบรับก้อนหินจากเธอ เขาพลิกมันไปมาในมือ และด้วยความเข้าใจลึกซึ้งเกินวัยสิบเจ็ด เขาหย่อนหินก้อนนั้นลงกระเป๋าและพูดว่า “ดอกไม้บานได้ไม่นานหรอก แต่นี่จะอยู่ได้นานกว่านั้นมาก” รอยยิ้มเขินอายปรากฏบนใบหน้าหลานสาวของเรา เธอเดินจากไปอย่างพอใจ และคาดหวังที่จะพบสมบัติอื่นๆ ในสวนอีก ชีวิตที่แสนสั้น ความงดงาม และความหวัง ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว

...

นานมาแล้ว ในห้องชั้นบนแห่งหนึ่ง มีเหตุการณ์ซึ่งได้กลั่นเอาความเจ็บปวด ความรัก และความหวังของชีวิต ออกมารวมกันไว้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ยอห์นผู้เป็นสาวกได้บรรยายถึงอาหารเย็นมื้อสุดท้ายไว้ดังนี้ “พระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” (ยอห์น 13:1) ในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น พระคริสต์ได้ทรงสำแดงให้เหล่าสาวกเห็นถึงการเป็นผู้นำที่แท้จริง (ข้อ 3-17) พระองค์ทรงเตือนถึงการทรยศที่กำลังจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของยูดาส (ข้อ 18-30) และทรงเตือนเปโตรว่าอีกไม่ช้า เขาจะปฏิเสธพระองค์ (ข้อ 38) พระองค์ตรัสบอกสาวกว่า พระองค์กำลังจะไปแล้ว แต่ทรงให้สัญญากับพวกเขาว่า “เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน” (14:18) พระองค์ทรงให้คำมั่นกับพวกเขาว่า…

ความชื่นชมยินดีในพระเยซู

“ฉันมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข” หญิงสาววัยรุ่นกล่าวต่อหน้าสภานิติบัญญัติ แต่เธออาจเป็นใครก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ และกำลังพูดแทนทุกคน นี่คือเสียงเรียกร้องของมนุษย์ แม้แต่ผู้รู้ด้านการพัฒนาตนเองยังพูดว่า “พระเจ้าอยากให้คุณมีความสุข”

นี่เป็นความจริงใช่ไหม การแสวงหาความสุขไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความสุขซึ่งเป็นภาวะทางจิตใจที่เราปรารถนานั้นขึ้นลงตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา และการทำให้คนหนึ่งสมปรารถนาก็อาจทำลายความสุขของอีกคนได้

พระเยซูทรงชี้ให้เราเห็นถึงสิ่งที่ดีกว่า พระองค์ทราบว่าจะทรงถูกตรึงที่กางเขนของพวกโรมัน เป็นที่ซึ่งพระองค์ต้องแบกรับความบาปของคนทั้งโลก แต่พระองค์ยังทรงเป็นห่วงสาวกของพระองค์ โดยตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี” และยังตรัสอีกด้วยว่า “ความทุกข์โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี” (ยน.16:20) จากนั้นพระองค์สัญญาว่า “ไม่มีผู้ใดจะช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้” (ข้อ 22)

ความชื่นชมยินดีนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกดีๆเมื่อสิ่งที่เราปรารถนาได้เกิดขึ้นกับเรา แต่เป็นมากกว่านั้นโดยเบ่งบานขึ้นจากการทำตามพระประสงค์ของพระบิดาในสวรรค์ พระเยซูตรัสด้วยว่า “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มธ.6:33)

ความสุขอาจจะหายไปเมื่อสถานการณ์ที่ไม่น่าพึงใจครั้งใหม่ผ่านเข้ามา แต่ความชื่นชมยินดีจากการติดตามพระเยซูจะยังเพิ่มขึ้นแม้ในสถานการณ์เหล่านั้น

รายชื่อคือชีวิต

อิทชัค สเติร์น นั่งค้อมตัวทำงานอยู่เหนือเครื่องพิมพ์ดีดตลอดคืนเพื่อพิมพ์รายชื่อทั้งหมด 1,098 ชื่อ ทั้งหมดเป็นรายชื่อของคนงานชาวยิวที่เจ้าของโรงงานออสการ์ ชินด์เลอร์ ช่วยไว้จากพวกนาซี ขณะถือเอกสารไว้ในมือ สเติร์นประกาศว่า “รายชื่อนี้ดีเยี่ยม รายชื่อนี้คือชีวิต” เพราะรายชื่อในเอกสารนั้นได้รอดพ้นจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 2012 มีการคำนวณคร่าวๆว่าลูกหลานของผู้รอดชีวิตในครั้งนั้นมีประมาณ 8,500 คน

ในพระคัมภีร์ก็มีรายชื่อแบบเดียวกัน แต่พวกเรามักจะอ่านข้ามไป เพราะมีีชื่อมากเกินไป มีชื่อที่ซ้ำกันมากเกินไป บางครั้งพวกเราก็บ่นว่าพระธรรมสำหรับวันนี้...น่าเบื่อ “บุตรของยูดาห์ตามครอบครัวของเขา คือเชลาห์คนตระกูลเชลาห์ เปเรศคนตระกูลเปเรศ ...” (กดว.26:20) ใครจะไปอยากรู้ล่ะ

แต่พระเจ้าทรงสนพระทัย! พวกเขาคือ “คนอิสราเอล ผู้ที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์” ตามที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ (ข้อ 4) หลังจากนั้นไม่นานประชาชนได้เข้าครอบครองดินแดนที่ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา และวันหนึ่งพระเมสสิยาห์จะมาจากชนเผ่ายูดาห์นี้ รายชื่อนี้คือชีวิต ไม่เพียงสำหรับชาวยิวเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระเยซู

พวกเรารู้เกี่ยวกับรายชื่อของออสการ์ ชินด์เลอร์จากภาพยนตร์เรื่อง ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม และบันทึกทางประวัติศาสตร์ พวกเรารู้เรื่องการช่วยให้รอดที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจากเรื่องราวที่บันทึกไว้เพื่อเราในพระคัมภีร์ เมื่อเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า ขอพระวิญญาณทรงสำแดงให้เราเห็นคุณค่าของรายชื่อเหล่านั้น รายชื่อเหล่านี้มีความหมายต่อเราเช่นกัน

ความยับยั้งชั่งใจอย่างชาญฉลาดในพระเจ้า

หลังการสูญเสียมหาศาลที่เกตตี้สเบิร์กในสงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ.1863) นายพลโรเบิร์ต อี.ลีได้นำกองกำลังที่ถูกตีพ่ายกลับไปยังดินแดนฝ่ายใต้ ฝนที่ตกหนักจนแม่น้ำโปโตแมคเอ่อล้นขัดขวางการถอยทัพของเขา ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นบอกให้นายพลจอร์จ มีต บุกโจมตี แต่ทหารของมีตเหนื่อยล้าพอๆกับทหารของลี เขาจึงให้กองทัพของเขาพัก

ลินคอล์นหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนจดหมายซึ่งเขาสารภาพว่าเขา “ทุกข์ใจอย่างเหลือล้น” ที่มีตฝ่าฝืนคำสั่งให้ไล่ล่าลี บนซองปรากฏข้อความที่ประธานาธิบดีเขียนด้วยลายมือว่า “ถึงนายพลมีต ไม่เคยส่ง หรือลงนาม” และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ

เป็นเวลานานก่อนสมัยของลินคอล์น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งก็ตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ของเรา ไม่ว่าจะมีเหตุผลเพียงใด ความโกรธก็นับว่าเป็นพลังที่มีอำนาจและอันตราย “เจ้าเห็นคนที่ปากไวหรือ” กษัตริย์ซาโลมอนถาม “ยังมีหวังในคนโง่มากกว่าเขา” (สภษ.29:20) ซาโลมอนทรงทราบว่า “พระราชาทรงให้เสถียรภาพแก่แผ่นดินด้วยความยุติธรรม” (ข้อ 4) และทรงเข้าใจว่า “คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขาพลุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ” (ข้อ 11)

และในท้ายที่สุด การไม่ส่งจดหมายฉบับนั้นได้ช่วยป้องกันลินคอล์นจากการทำลายขวัญกำลังใจนายพลระดับสูงของเขา ช่วยให้ชนะสงคราม และมีส่วนในการเยียวยาประเทศชาติ เราควรเรียนรู้จากแบบอย่างในการยับยั้งชั่งใจอันชาญฉลาดของเขา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา